วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ความฝันอันเลื่อนลอยของปาตานีกับบทบาทโอไอซี

โดย “มองหลากมุม”
                “ปาตานี” เป็นคำที่กลุ่มก่อความไม่สงบมักนำมาใช้เพื่อสื่อถึงการแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระ และแม้ว่ากลุ่มคนดังกล่าวจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในสังคมมุสลิมส่วนใหญ่ที่อยู่ในภาคใต้ของไทย แต่สร้างความเดือดร้อนและความสูญเสียให้กับมุสลิมไทยในพื้นที่มิใช่น้อย ตั้งแต่เหตุการณ์ตากใบและกรือเซะ ปี47 จนถึงเหตุการณ์ระเบิดที่ จ.สงขลา และ จ.ยะลา เมื่อ 31 มี.ค.55 และนั้นคือเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปี 48 ในพื้นที่ชายแดนใต้ของไทยจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะทยอยยกเลิกไปแล้วในบางพื้นที่ก็ตาม
                หากมองที่ขบวนการเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนยังคงมีหลากหลายกลุ่มเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย มีวิธีการเคลื่อนไหวต่างกันเช่น การเคลื่อนไหวสร้างสถานการณ์รุนแรงในไทยเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศของกลุ่ม BRN ขณะที่กลุ่ม PULO มีความถนัดในการใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนข่าวสาร มุ่งโจมตีรัฐบาลว่ากดขี่ข่มเหงพี่น้องมุสลิมเพื่อขอบริจาคจากคนมุสลิมและองค์กรมุสลิมระหว่างประเทศและอ้างเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อคนมุสลิมเพื่อหวังให้องค์กรต่างประเทศต่าง ๆ เข้ามาแทรกแซงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการแบ่งแยกดินแดน แต่หารู้ไม่ว่าพฤติการณ์ดังกล่าวกลับยิ่งประจานตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะการก่อเหตุโดยไม่เลือกเป้าหมายทำให้ผู้บริสุทธิ์ชาวมุสลิมบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น และอยู่ในสภาวะที่แกนนำไม่สามารถควบคุมได้ จึงทำให้ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เห็นประโยชน์ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าสามารถช่วยลดเหตุรุนแรงได้จากต้นต่อ(ผู้ก่อเหตุ) และมีแต่ฝ่ายโจรเท่านั้นที่เดือดร้อนและต้องการให้ยกเลิก
                ภายหลังเหตุระเบิดที่ จ.ยะลา และ จ.สงขลา เมื่อ 31 มี.ค.55 ปรากฏว่ามีองค์กรมุสลิมทั้งในและต่างประเทศร่วมกันประณามการก่อเหตุของขบวนการก่อความไม่สงบ อาทิ สหประชาชาติ องค์การนิรโทษกรรมสากล องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และนายสะมะแอ ฮารี ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา เผยว่ากลุ่มก่อเหตุมักอ้างว่าทำเพื่อชาวมลายู แต่สิ่งที่พวกเขาทำไม่ถูกหลักศาสนาทำให้ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องรับเคราะห์และเสียชีวิต
                การเดินทางเยือนไทยของผู้แทนระดับสูงขององค์กรความร่วมมืออิสลามช่วง 7-13 พ.ค.55 ตามคำเชิญของ รมว.กต.ไทยแสดงให้เห็นถึงการเปิดกว้างทางสิทธิเสรีในการรับทราบข้อเท็จจริงจากสถานการณ์ภาคใต้ของไทย โดยเปิดโอกาสให้ผู้แทน OIC พบปะชุมชุมและกลุ่มบัณฑิตอาสาในพื้นที่ จชต. มีการชี้แจงนโยบายแก้ไขปัญหาครอบคลุมตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ซึ่งเอกอัครราชทูตซาเยด คัสเซม เอลมาสรี ที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษของเลขาธิการ OIC กล่าวรู้สึกยินดีกับการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น นับตั้งแต่การเยือนเมื่อปี 50 โดยผู้แทน OIC  รับทราบการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินบางพื้นที่ใน จชต.และขอให้ไทยพิจารณายกเลิกในพื้นที่อื่นต่อไป ซึ่งฝ่ายไทยแสดงความพร้อมจะยกเลิก หากสถานการณ์ในพื้นที่อำนวย ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือระหว่างกันอย่างดี
                นักวิเคราะห์บางท่านระบุว่า OIC พยายามเข้ามามีบทบาทต่อปัญหาความรุนแรงจากความพยายามของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยผลักดันให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนรวมตัวกันในชื่อ “สภาประชาชนปาตานี”  United Patani People Concil (UPPC) เพื่อหาความชอบธรรมให้กับคนในพื้นที่ 3 จชต. คำถามคือ? จะหาความชอบธรรมให้กับผู้ใดในเมื่อคนในพื้นที่ จชต.ส่วนใหญ่สนใจปากท้องและการใช้ชีวิตอย่างสันติสุข และไม่เคยแม้แต่จะคิดเรื่องการแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด อีกทั้ง OIC ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐที่จะมาเป็นกลางในการเจรจาใดๆได้ มิหน้ำซ้ำยังได้ย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนออกจากประเทศไทย-ไม่แทรกแซงไทย-ประณามกลุ่มก่อเหตุไม่สงบ”  ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยยืนยันชัดเจนว่าจะไม่มีการเจรจากับโจรเพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และอาจเปิดช่องให้ต่อรองแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”  ดังนั้นแล้วความหวังของคนกลุ่มน้อยในพื้นที่ จชต.ที่จะแบ่งแยกดินแดนคงเป็นเพียงความฝันอันเลื่อนลอยในประเทศไทยที่เปิดเสรีให้กับประชาชนคนไทยทุกคน

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความจริงที่ไม่กล้ายอมรับ

        โลกปัจจุบันเป็นยุคของสังคมข่าวสาร ข่าวสารทุกอย่างล้วนมีมุมมองหลากหลาย เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของไทย โดยมีกลุ่มที่ออกตัวแรง เช่น กลุ่มพูโล อ้างว่าเป็นผู้เคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยดินแดน แต่กลับไม่กล้าแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำสักเท่าไหร่ เกิดเหตุอะไรขึ้นมาก็โยนบาปให้คนอื่นตลอดเวลา
        หลายต่อหลายครั้ง พูโล ยังไม่เคยเปลี่ยนกลยุทธ์ ใช้ยุทธวิธีแบบเดิมๆ จนถูกจับได้คาหนังคาเขา หลายชีวิตของขบวนการที่ถูกสังหารคาที่ ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรง เป็นสมุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน แต่พูโลกลับไม่กล้าที่จะบอกว่าคนเหล่านั้นเป็นของตน ขี้ขลาดตาขาว โยนบาป โยนขี้ให้เจ้าหน้าที่รัฐไทยอยู่ร่ำไป หาว่าฆ่ากันเองบ้างละ หาว่าสร้างสถานการณ์บ้างละ
        โถ ลองใช้สติไตร่ตรองดูดีๆ เถอะ จะฆ่าคนของชาติตัวเองเพื่อดิสเครดิตพูโลไปเพื่ออะไร? ทำไมต้องทำแบบนั้น ในเมื่อกลุ่มพูโลเป็นเพียงแค่กลุ่มคนที่สติไม่สมประกอบ ยึดติดอยู่กับอดีตอันหอมหวานของอาณาจักรในอดีตซึ่งเป็นเพียงแค่คำบอกเล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น ไม่มีคุณค่าอะไรเลยที่จะต้องแลกด้วยชีวิตคน
        หรือพูโลกำลังคิดว่า คนอื่นจะใช้วิธีการเดียวกับตนเอง? ในการฆ่าคนบริสุทธิ์ หรือ ใช้คนบริสุทธิ์เป็นเหยื่อเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน เหตุผลนี้ดูจะฟังขึ้นมากกว่าเสียอีก
        ล่าสุด กรณีเว็บไซต์พูโล โดน โคลนนิ่ง จนถึงกับต้องออกแถลงการณ์ใหญ่โต ถึงขั้นต้องพาดหัวตัวใหญ่อวดอ้างสรรพคุณว่าตนเอง เป็นทีมงานที่ให้ข้อมูลที่โปร่งใส ตรงไปตรงมา พร้อมกับกล่าวหาว่าคนที่คัดลอกรูปแบบเว็บไซต์ และเผยแพร่ข่าวสารข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งเป็นคนวิกลจริต...
        สงสัย พูโล จะเป็นพวกหลงยุคจริงๆ เลยไม่เข้าใจว่า โลกของสังคมข่าวสารในปัจจุบัน ต้องเปิดรับข้อมูลจากทุกๆ ด้าน ต้องมีข้อมูลโต้แย้ง เพื่อให้คนที่รับข่าวสารได้มีโอกาสวิเคราะห์ว่าจะเชื่อใคร หรือข้อมูลไหนเท็จจริงมากกว่ากัน
        เห็นพฤติกรรมแบบนี้แล้ว มันอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าพูโลกลัวอะไรกับเว็บไซต์ที่โคลนนิ่งรูปแบบ และ ให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ... หรือว่าซุกซ่อนอะไรไว้ ดูท่าจะหวาดกลัวเหลือเกินว่าแนวร่วมที่เคยหลงผิดคิดว่าพูโลดีเลิศประเสริฐศรี จะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วพูโลเป็นเพียงกลุ่มที่หลอกใช้ชาวบ้านให้มาตายฟรีเท่านั้นเอง
        ถ้าคิดว่าสิ่งไหนไม่ใช่ความจริง สิ่งที่น่าจะทำคือการเสนอความจริงโต้แย้งมิใช่หรอกหรือ? เหตุใดพูโลถึงต้องออกแถลงการณ์ประณามข้อมูลอีกฝ่ายว่าเป็นคนวิกลจริตด้วย การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง คือหนทางของผู้วิกลจริตด้วยหรือ?
        ใครก็ตามที่ยังหลงเดินตามพูโล วันนี้ควรจะตั้งคำถามกับตัวเองและคนรอบข้างที่ยังหลงผิดได้แล้ว ว่าสิ่งที่พูโลทำ คือ ความจริง หรือ พูโลเป็นเพียงกลุ่มคนขี้ขลาดตาขาวที่ไม่กล้ายอมรับความจริงกันแน่...     

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

หายนะและตราบาปแห่งปัตตานี

              โอ้ พี่น้องมุสลิมทั้งหลาย พวกเราคือพี่น้องกันจึงต้องว่ากล่าวและตักเตือนกัน ขณะนี้มีผู้อ้างว่าเป็นมุสลิมแต่พยายามทำตัวให้น่ารังเกียจในเหล่าชาวมุสลิม ทำให้ภาพลักษณ์ของมุสลิมและความปลอดภัยของชาวมลายูปาตานีมีความสั่นคลอน พวกเขาใช้กำลังประทุษร้าย ก่อความรุนแรง ต่อชุมชนมุสลิมซึ่งเป็นพี่น้องกันเอง โดยอ้างว่าเป็นการกระทำที่เสียสละเพื่อนำเสรีภาพมาสู่ดินแดนของตน ทั้งที่ทุกวันนี้พวกเราต่างใช้ชีวิตทำมาหากินในดินแดนแห่งนี้อย่างเสรีอยู่แล้ว
                พวกเราชาวมุสลิม เหนื่อยกับการกระทำของคนกลุ่มนี้ จึงอยากจะตักเตือนและให้ข้อคิด ว่าสิ่งที่พวกเขากระทำนั้น ไม่ใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่ และสิ่งที่ชุมชนมุสลิมส่วนใหญ่ต้องการคือความอยู่ดีกินดี สงบ สันติ การปกครองกันเอง โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
                เรารู้สึกหวั่นใจ หากมีการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน อย่างที่คนเหล่านั้นหาเรื่องมาเพื่อสร้างความวุ่นวายอีก เรากลัวว่า ยกเลิกไปแล้ว ใครจะดูแลความปลอดภัยของพี่น้องทั้งหลาย ถ้ายกเลิก พรก.จะเกิดความวุ่นวายอะไรขึ้นอีกบ้าง?????
อย่างน้อย พรก.ฉุกเฉิน ยังมีประโยชน์เพื่อให้ชาวบ้านพี่น้องมุสลิมใช้ชีวิตอย่างปกติที่สุด ปลอดภัยจากความรุนแรงที่ควบคุมไม่ได้และไม่ปกติ  พวกเราชาวบ้านธรรมดาผู้รักความสงบ สันติ จะไปหาอาวุธที่ไหนมาป้องกันตนเองเล่า นอกจากการตักเตือนฉันท์พี่น้อง แต่หากตักเตือนกันแล้วยังไม่ปลอดภัยในชีวิต จงมั่นใจเถิดว่าเจ้าหน้าที่ทหารเท่านั้น ที่มีอาวุธสามารถรับมือการกระทำรุนแรงและโหดร้ายของพวกโจรได้
พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านในดินแดนมลายูปาตานี ที่ต้องการความสงบ ปลอดภัย เราต้องการให้กลุ่มโจรเหล่านั้น ยุติการกระทำที่โหดร้ายต่อผู้บริสุทธิ์ เราต้องการให้ผู้กระทำผิด และผู้ปลุกปั่นยุยงให้เกิดความเข้าใจผิดในเหล่ามุสลิมถูกลงโทษ  ซึ่ง พรก.ฉุกเฉิน มีประโยชน์ตรงที่สามารถดำเนินการกับผู้กระทำผิดได้ทันที ส่วนผู้ต้องสงสัยหรือไม่ผิดจะถูกปล่อยตัว  หากผู้ใดจากคนกลุ่มใดกล่าวอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการตัดสินโดยศาลของรัฐไทย ขอให้ลองย้อนกลับไปดูการตัดสินคดีความมั่นคงเมื่อ 8 ธ.ค.54 ที่ศาลจังหวัดปัตตานีพิพากษาให้ นายสุกรี อาดำ กับ นายอาหามัดซากี กียะ พ้นผิดโดยการยกฟ้อง ในคดีฆ่าตัดคอ นายจวน ทองประคำ ชาวบ้านไทยพุทธ ตำบลนาประดู่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550 นอกจากนี้ ยังมีองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศเป็นพลังเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพวกเราชาวมลายูปาตานีอีกทางหนึ่งด้วยแล้ว
 กระบวนการยุติธรรมของคนส่วนใหญ่ คือสิ่งที่พวกเราชาวมุสลิมต้องยอมรับ มิใช่ต่อต้าน ในเมื่อความยุติธรรมยังคงมีอยู่ ถ้าใครเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็ฟ้องดำเนินคดีตามหลักเกณฑ์ของศาลได้ แต่การใช้สื่อและลงข้อมูลเท็จบ้างจริงบ้างทำให้คนอื่นหลงเชื่อ เพียงหวังผลในการต่อต้าน พรก. เพื่อให้สามารถใช้ความรุนแรงได้สะดวกแบบนี้ โอ้ พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านรู้หรือไม่ มีการนำเด็กมาทำสัญลักษณ์มือชูนิ้วโป้ง เพื่อสื่อความหมายบางอย่าง ทั้งที่ไม่รู้ว่าเด็กรู้ความหมายที่ทำหรือไม่ แบบนี้เข้าข่ายไร้จริยธรรม สร้างความเสื่อมเสียให้กับพวกเรามุสลิมส่วนใหญ่
 ข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้น ทั้งการซ้อมทรมานพี่น้องของเรา จริงๆ แล้วพบน้อยมาก เป็นเฉพาะบางกรณีเท่านั้น ซึ่งทุกคดีถูกตัดสินอยู่ในชั้นศาล หากอ้างว่ามีทุกกรณีช่วยชี้แจ้งผู้ต้องหาที่ชัดเจนไม่ใช่แค่กล่าวอ้างด้วย การเขียนบทสัมภาษณ์อย่างเลื่อนลอย ไม่มีตัวตนที่ชัดเจนแบบนั้น
โอ้ พี่น้องเอ๋ย เราชาวมุสลิม ไม่นิยมความรุนแรง ไม่อยากเห็นความสูญเสียอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน ชาวมลายูปาตานี หรือความสูญเสียของ จนท.รัฐไทย ในพื้นที่ และ ผู้เป็นอาสาสมัคร มันทรมานจิตใจ และหดหู่เหลือเกิน ที่ได้ฟัง ได้ยินข่าว โดยยังไม่สามารถหาคนรับผิดชอบต่อกรณีเหล่านี้ได้ ขออัลเลาะห์เมตตาชี้ทางสว่างคนเหล่านั้นที่ก่อความรุนแรง ให้ยุติการกระทำเสียเถิด ขอความสงบจงกลับคืนสู่ดินแดนมลายูปาตานีโดยเร็ว
อัลลาฮูอัคบาร์       

Pattani ternoda dan musnah

          Wahai saudara Muslimin dan Muslimat sekalian. Kita semua adalah bersaudara seperti firman Allah (s.b)” Hanya sanya orang mukmin itu bersaudara”. Oleh itu, nasihat-menasihati antara satu sama lain adalah satu keperluan dan satu ketetapan agama sebagaimana termaktub di dalam hadith Rasullulah  yang maksudnya “ Agama itu adalah nasihat”.  
        Sekarang terdapat mereka yang mengaku diri mereka sebagai orang Islam tetapi mereka melakukan perbuatan yang amat jijik yang boleh mencemarkan imej dan nama baik orang Islam dan menjejaskan keselamatan orang Melayu. Mereka menggunakan keganasan terhadap orang Islam yang bersaudara dengan dakwaan bahawa ia merupakan satu pengorbanan untuk mengembalikan kemerdekaan kepada tanah air. Walhal sepanjang masa ini, kita semua bebas hidup dan mencari makan.
          Kita umat Islam berasa amat letih dengan perbuatan mereka ini. Dan kita ingin menasihati mereka serta memberi teguran kepada mereka bahawa apa yang mereka lakukan itu bukanlah kehendak majoriti orang Islam di sini. Apa yang kebanyakan kita mahu ialah kehidupan yang baik, keamanan dan kebebasan mentadbir diri sendiri. Bukan pemisahan untuk kepentingan dan faedah golongan tertentu sahaja.
          Kita berasa amat risau kalau undang-undang darurat dimansuhkan. Kita khuatir kekacauan akan kembali berlaku di sini. Kita berasa takut bahawa kalau undang-undang itu dimansuhkan siapa yang akan menjaga keselamatan saudara kita Muslimin dan Muslimat. Pelbagai kekacauan yang akan berlaku. Kewujudan undang-undang darurat –sekurang-kurangnya- membolehkan orang kampung kaum Muslimin dan Muslimat dapat hidup dengan aman dan terselamat daripada keganasan yang tidak dapat dibendung.
          Wahai Muslimin dan Muslimat sekalian,kita -orang kampung biasa yang cintakan keamanan-  kita tidak ada senjata untuk mempertahankan diri sendiri kecuali usaha memberi nasihat atas dasar kita semua bersaudara. Tetapi kalau nasihat tidak boleh buat apa-apa maka yakinlah bahawa pihak tentera yang ada senjata  sahajalah yang mampu berhadapan dengan keganasan dan kekejaman para penjahat itu.
          Kita orang Pattani mahukan keamanan dan keselamatan. Kita mahu merayu supaya semua penjahat itu berhenti melakukan perbuatan jahat mereka terhadap saudara seagama . Tidakkah mereka dengar sabda Rasulullah yang bermaksud “ Orang Muslim itu ialah orang yang orang  Muslim lain terselamat daripada tangan dan mulutnya( yakni perbuatan jahat dan perkataan jahat)”.
       Kita mahu mencari mereka yang berusaha menghasut dan menjadi batu api supaya berlaku kesalahfahaman di kalangan umat Islam. 
          Sebenarnya undang-undang darurat itu ada faedahnya.  Mereka yang ditangkap, kalau mereka tidak bersalah mereka akan dibebaskan. 
Ketahuilah wahai saudara sekalian , jika masih ada pihak  yang mendakwa  bahawa diri mereka tidak mendapat keadilan daripada sistem keadilan mahkamah  Thailand , silalah mereka  merujuk kepada keputusan mahkamah Wilayah Pattani yang membebaskan encik Syukri Adam dan encik Ahmad Yaki Kiya daripada tuduhan membunuh dan memancung kepala encik Cuan Thongprakham - orang kampung beragama Buddha di kampung Napradu , daerah Khokpho, wilayah Pattani  di mana kejadian ini berlaku pada 8/2/2550. Selain itu, masih kumpulan NGO baik dari dalam dan luar Negara yang sentiasa menuntut keadilan bagi pihak kita –orang Melayu Pattani.
Sistem pengadilan bagi  majoriti rakyat adalah perkara yang kita- orang Islam – perlu terima bukan menolak selagi mana masih wujud keadilan. Kalau sesiapa yang merasakan bahawa dirinya tidak mendapat keadilan, dia boleh mengadu masalahnya kepada pihak mahkamah bukannya menggunakan media massa dengan memberikan maklumat yang  setengahnya betul dan setengahnya salah untuk menyesatkan orang ramai semata-mata untuk kepentingan tertentu. Wahai saudara Muslimin dan Muslimat sekalian ! adakah anda semua tahu bahawa mereka memperalatkan kanak-kanak dengan menyuruh mereka mengangkat jari tangan untuk menyampai sesuatu makna walhal kanak-kanak itu mungkin tidak mengerti akan perbuatan diri mereka sendiri. Ini adalah perbuatan yang tidak bermaruah dan mencemarkan nama baik kita- majoriti orang Islam.
Maklumat tertentu telah  direka-rekakan termasuk cerita penyeksaan  sesetengah orang Islam di Negara ini. Sedangkan hal ini jarang sekali berlaku. Dan jika berlaku, ianya sedang dibicara di dalam mahkamah. Oleh itu kalau benar-benar ada kes bahawa orang Islam disiksa dan dianiayai ia perlu dibuktikan dengan jelas bukan sekadar cakap kosong sahaja.
Wahai Muslimin dan Muslimat sekalian, kita orang Islam tidak sukakan keganasan dan kita tidak mahu melihat sebarang kematian lagi baik terhadap orang kampung biasa dan pegawai kerajaan. Ia sangat menyanyatkan hati apabila berlaku kematian tanpa dapat menangkap orang yang melakukan jenayah itu. Semoga Allah (s.b) mengubah hati mereka yang melakukan keganasan dan kemusnahan  itu supaya mereka menghentikan perbuatan jahat mereka itu.Ya Allah, tunjukkanlah kami akan jalan yang lurus bukan jalan mereka yang dimurkaiMu dan bukan jalan mereka yang sesat.  Semoga keamanan dan kedamaian segera kembali ke tanah Melayu Pattani tercinta  kita ini , Insya Allah.

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Petanda yang baik daripada tiga wilayah sempadan Selatan Thai

Sudah hampir sepuluh tahun berlakunya kejadian huru-hara di kawasan 3 wilayah sempadan selatan Thai secara berterusan dan tidak ada penunjuk bahawa ia akan reda. Walaupun pelbagai pihak telah berusaha sedaya upaya untuk mengatasinya , di samping penggunaan belanjawan  beribu-ribu juta  baht untuk menyokong usaha badan-badan kerajaan yang bertanggungjawap di bahagian selatan Thai. Semua apa yang telah dilakukan selama ini hanya sekadar dapat menangguhkan masa sahaja bukan penyelesaian  muktamat terhadap kekacauan di tanah hujung kapak itu.
          Sentiasa terdapat kumpulan-kumpulan yang berusaha untuk menyebarkan dakyah anti kerajaan dan menyerang pihak berkuasa pada setiap zaman. Salah satu daripada kumpulan-kumpulan tersebut ialah Pertubuhan Pembebasan Patani Bersatu atau PULO di bawah pimpinan Encik Nur Abdur Rahman yang dilantik pada awal tahun lalu.
          Baru-baru ini telah berlaku perubahan tergempar di dalam gerakan PULO itu apabila presidennya telah ditukar lagi dan pada kali ini, Encik Kasturi Mahkota telah diberi kepercayaan untuk menjadi presiden pertubuhan itu.
          Sumber berita Angkatan Tentera Darat Bahagian Ke-4 yang bertanggungjawap memantau dan menjaga 3 wilayah sempadan Selatan Thai membuat spekulasi bahawa kekuatan PULO  mungkin banyak tergugat . Encik Kasturi dinaikkan menjadi presiden kerana campur tangan daripada kerajaan Negara jiran yang berusahasa membantu Negara Thai dengan mendesak kumpulan PULO  supaya mengadakan rundingan terbuka dengan kerajaan Thai, di mana sebelum  ini Encik Kasturi  selalu menjadi  orang yang masuk dalam rundingan secara sulit dengan kerajaan Thai.
           Suara rakyat dan para pemimpin agama di kawasan 3 wilayah sempadan sendiri pun merasa puas hati dengan rundingan itu-jika ia akan berlangsung dan mereka bersedia untuk mengemukakan jalan keluar bersama dengan pegawai-pegawai kerajaan Thai.
          Pada hujung bulan Oktober 2554, telah diadakan pertemuan antara pemimpin-pemimpin agama tempatan dan wakil Angkatan Tentera Bahagian ke-4 untuk mendengar pelbagai cadangan dan syor . Hasil pertemuan itu sangat memuaskan walaupun belum ada kata putus yang jelas.
          Semua ini menunjukkan bahawa peranan kumpulan PULO di 3 wilayah Sempadan Selatan Thai mulai berkurangan. Hubungan yang baik antara kerajaan Thai, Malaysia dan Indonesia sangat penting dalam menangani masalah ini dengan memberikan tekanan kepada pemimpin-pemimpin berhaluan kiri kumpulan PULO itu.
          Adalah diketahui umum bahawa ramai daripada pemimpin-pemimpin kumpulan itu melarikan diri dan tinggal di kedua-dua Negara tersebut. Walaupun  pemimpin-pemimpin berhaluan kiri kumpulan itu masih bertegas bahawa tujuan sebenar  pertubuhan mereka bukanlah rundingan, bukan negeri Patani atau sebarang kawasan pentadbiran khas tetapi ia ialah kemerdekaan rakyat Melayu sahaja.
          Perkembangan selepas ini perlu diberi perhatian serius untuk mengetahui cara bagaimana masalah huru-hara dan ketidakamanan di 3 wilayah sempadan Selatan Thai akan menemui jalan keluar.
          Adalah sangat  diharapkan bahawa ia akan menjadi jalan keluar yang terbaik dan boleh diterima oleh kedua-dua pihak. Inipun kalau kumpulan PULO tidak menuntut apa-apa yang bukan-bukan.